ข้อคิดคติเตือนใจ

(ให้ข้อคิดได้ดี) อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง หลงตัวทะนงตนเหมือนม้าพันลี้

คนเรานั้นอย่าหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองเหนือกว่าใคร เลิกหลงทะนงตน เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า

อย่าทำตัวเป็นม้าพันลี้ เรื่องมีอยู่ว่า ในดินแดนแสนไกล มีม้าอยู่ตัวหนึ่ง เป็นม้าหนุ่มที่มีร่างกายกำยำ

แข็งแร ง ดูแหร่ง สง่างาม แล้วความสามารถของม้าตัวเนี่ย เขาสามารถวิ่งได้ระยะทาง ถึงพันลี้เลยล่ะ

แบบที่ขาไม่ต้องหยุดพักและไม่มีเหนื่อยสำหรับเขา เลยจึงทำให้เป็น ที่หมายปองของ

หลายๆคน ที่ต้องการจะเป็นเจ้า แต่ทว่าม้าตัวนี้ ก็ไม่ยอมให้ใครขี่แม้แต่น้อย เพราะมันกำลัง รอผู้ที่เพียบพร้อม

ผู้ที่เหมาะสม ที่จะขี่มันอยู่ ในช่วงเวลาที่ม้า กำลังมองหาผู้ที่มันคิดว่าดี และเหมาะสมจะขี่ ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อย

ที่เข้ามาหาม้าตัวนี้ เพราะเขาต้องการจะขี่มัน พ่อค้ าได้เข้ามาหาม้าและถามว่า “เจ้าอย ากจะไปกับข้าไหม ข้ามีอาหาร มีน้ำ ให้กินตลอด”

ม้าพันลี้เขาก็ได้ส่ายหัว ไม่สนใจ ตอบกลับไปว่า “ม้าดีๆ แบบข้านั้นไม่ไปกับพ่อค้ า ที่ใช้ข้าเพื่อส่งของหรอก”

และต่อมา ทหารได้เข้ามาหาม้า แล้วถามมันว่า “เจ้าอย ากจะไปกับข้าไหม เจ้าจะได้เป็นม้า คู่กายทหารเชียวนะ”

และม้าพันลี้ได้แต่ส่ายหัวเช่นเคย ตอบกลับไปว่า “ม้าดีๆ เช่นข้าทำไมข้อต้องไปรับใช้ทหาร ธรรมดาๆ เยี่ยงเจ้า”

จากนั้นนายพรานก็ได้เข้ามาหา แล้วถามมันว่า “เจ้าอย ากจะไปกับข้าไหม” ม้าพันลี้ส่ายหัวเช่นเคย

จากนั้นก็ตอบกลับไปว่า “ม้าดีๆ เช่นข้าทำไมต้องไปรับใช้ นายพรานเช่น” และไม่ว่าใครจะเข้ามาหา

ม้าพันลี้ก็ไม่ตอบตกลง กับใครเลย และเวลาก็ผ่านล่วงเลยไปหลายปี ม้าพันลี้ตัวนี้ ก็ยังหาเจ้าของที่ถูกใจไม่ได้เลย

จนเมื่อข่ าวความเก่งและความสามารถของม้าตัวนี้ เข้าไปถึงในวังและไปถึงหู ของพระราช า ท่านจึงได้ออกรับสั่ง

ให้ขุนนาง รีบไปตามหาม้าพันลี้ตัวนี้เลยตอนนั้น เพื่อมาเป็นพาหนะ คู่กายของพระราช า

จากนั้นขุนนางจึงออกเดินทางและได้ตามหาม้าพันลี้ ตัวนี้ ในที่สุดก็ได้เจอกัน และได้แนะนำตัวเองกับม้าพันลี้

พอม้าพันลี้รู้ว่าคนที่มาหาตนเป็นถึงขุนนางชั้นสูงแล้วล่ะก็ จะได้ไปเป็นพาหนะคู่กายของพระราช า

ก็ดีใจใหญ่เลย และตัดสินใจที่จะไปกับขุนนาง เพราะม้าพันลี้นั้น มันได้เจอกับคนที่เหมาะสมจะขี่

แต่ก่อนที่จะได้กลับวัง ขุนนางจึงได้ถามม้าพันลี้ว่า เจ้านั้นเชี่ยวชาญเส้นทาง แถบนี้แค่ไหน ม้าพันลี้ตอบว่า

ไม่เลยเพราะข้าไม่เคยเดินทาง ไปไหนนานมากแล้ว และขุนนางจึงถามต่อว่า เจ้าเคยมีประสบการณ์

ในการสู้ สมร ภู มิ รบบ้างหรือไม่ ม้าพันลี้ก็ได้ตอบไปว่า ไม่เลยเพราะข้า ไม่ยอมรับใช้ทหารธรรมดาๆ

จากนั้นขุนนางก็ถามต่อไปอีกว่า งั้นเจ้าเคยเข้าป่าหรือไม่ บางครั้งพระราช าก็ชอบไปล่ า สั ต ว์ นะ

ม้าพันลี้ตอบว่า ไม่เลยเพราะข้านั้นไม่ใช่ม้าธรรมดา ข้าไม่ไปให้นายพราน ใช้งานหรอกนะ ขุนนางมองม้าพันลี้

ด้วยความสงสัย ว่าเพราะอะไรทำไมม้า ตัวนี้ถึงมีชื่อเสียง ไปไกลถึงในวัง ทั้งที่ไม่มีความสามารถสักอย่าง

จากนั้นขุนนาง พูดขึ้นว่า หากเจ้าไม่เคยทำอะไรมาเลยนั้น ข้าจะเอาเจ้าไปใช้ประโยชน์อะไรได้ล่ะ

ม้าพันลี้บอกกับขุนนางไปว่า ข้าวิ่งเวลากลางวันได้นะ วันละพันลี้ กลางคืนแปดร้อยลี้เลยนะ

เมื่อขุนนางได้ยินดังนั้น จึงเปรยไปว่า เจ้าก็ลองวิ่งให้ข้าดูหน่อยสิ หากเจ้าวิ่งได้เร็วสมคำล่ำลือ

ข้าจะพาเจ้ากลับวัง จากนั้นม้าพันลี้ จึงเริ่มออกวิ่งด้วยความมั่นใจ และดีใจ ที่จะได้โชว์ความสามารถ

แต่เมื่อเริ่มออกวิ่งไปได้ไม่นานนัก ม้าพันลี้ก็เริ่มเหนื่อย หมดแร งซะงั้น ขุนนางจึงพูดขึ้นว่า “เมื่อก่อนตอนเจ้าหนุ่มๆ

เจ้าคงจะเก่งมากจริงๆ ตามที่ใครเขาล่ำลือกันไว้ แต่มาตอนนี้เจ้าแก่แล้ว หากข้าเอาเจ้าไป

คงใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ข้าว่าเจ้าคงไม่ใช่ม้า ที่ข้าตามมาหาแล้วล่ะ เมื่อพูดจบขุนนางก็ ขึ้นควบม้าตัวเดิม

แล้วจากไป ทิ้งให้ม้าพันลี้ยืนหอบ อยู่ตรงนั้น ข้อคิดของเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า อย่าหลง ทะนงตนว่าตนเก่งค้ำฟ้า

เพราะคนเรามีนำหน้าก็ต้องมีถอยหลังกันอยู่แล้ว ถ้าเราคิดว่าตัวเองเก่งและหยุดที่จะพัฒนา

ก็จะกลายเป็นคนที่ถอยหลังและคนอื่นจะแซงหน้าเราไปโดยที่เราไม่รู้ตัว การมีความมั่นใจเป็นเรื่องที่ดี

แต่อย่าถือตัว ทะนงตัว จนเกินไป เมื่อไหร่ที่คิดว่าตนเองเก่ง จนไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

เมื่อนั้น ความห า ย น ะ จะมาเยือนแล้ว หากเราจะหยุดพัฒนาตัวเอง มันก็จะมีแต่ทรงกับทรุด

ขอขอบคุณ ชุลีพร ช่วงรั งษี