ข้อคิดคติเตือนใจ

ต้องการให้ลูกเก่ง พึ่งตัวเองเป็น แม่ต้องไม่ทำอยู่ 3 เรื่อง

ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ เป็นคนที่ต้องดูแลงานบ้านทุกอย่ าง และยังต้องคอยเลี้ยงดูลูก ดูแล โดยเฉพาะการเลี้ยงลูก

ยิ่งต้องดูแลเอาใจใส่เขาเป็นพิเศษ เพราะต้องการให้เขาโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีคุณภาพ อยู่ภายในสังคมได้

แต่ส่วนใหญ่คุณแม่มักจะไม่กล้าเลี้ยงลูกให้เป็นอิสระ กังวลว่าลูกจะทำไม่ได้ อยู่ด้วยตัวเองไม่ได้

ต้องคอยอยู่ข้างๆ ช่วย ลูกอยู่ตลอด ถ้าคุณแม่ลอง “ขิ้เกียจ” แล้วปล่อยให้ลูกเรียนรู้ที่จะเป็นอิสระ มันจะส่งผลดีกับลูกมาก

มีงานวิจัยของต่างช าติ 3 ข้อ ที่หากแม่เข้าไปมีส่วนร่วม น้อยที่สุด จะดีกับลูกมาก

1. ไม่ไปช่วยลูกทำการบ้าน

มีคุณแม่ท่านหนึ่ง เล่าประสบการณ์ว่า ตนเองไม่เคยไปสอนการบ้านให้ลูกเลย จะคอยพูดกับลูกมากกว่า

ว่าเวลาไหนควรไปทำการบ้าน เมื่อทำเสร็จแล้วก็บอกแม่พอ ส่วนการตร วจ ว่าลูกชายทำถูกมั้ย

เป็นหน้าที่ของเค้าเอง แม่มีหน้าที่แค่เซ็นชื่อเท่านั้น แรกๆ ลูกชายไม่พอใจเป็นอย่ างมาก

โดยบอกว่า “แม่ของคนอื่นจะช่วยตร วจการบ้านให้ด้วย ทำไมแม่ขิ้เกียจล่ะ ?”

เธอตอบลูกชายว่า “ไม่ใช่เพราะแม่ขิ้เกียจหรอก หากแม่ช่วยลูกตร วจการบ้าน แล้วลูกจะรู้หรอ

ว่าผิ ดตรงไหนบ้าง แล้วต่อไปลูกจะตร วจเองเป็นมั้ย ตอนสอบหากผิ ดลูกจะรู้ไหมว่ามันผิ ด”

เธอสอนให้ลูกรู้จักพึ่งตนเอง เมื่อพบเจอปัญหาก็ต้องคิดแก้ไขเอง

หากคิดไม่ออกจริงๆ ค่อยถามแม่หรือขอคำแนะนำจากแม่ก็ได้

ประสบการณ์ของครู พบว่า : “แม่ขิ้เกียจ” ไม่เคยชี้นำลูกให้เรียนรู้ แต่ปล่อยให้ลูกทำและคิดอย่ างอิสระ

แต่เธอก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และใช้วิธีการที่ชาญฉลาด เพื่อแก้ปัญหาเมื่อลูกมีปัญหา

2. แม่ขิ้เกียจขยับมือ สอนให้ลูกรู้จักพึ่งตัวเอง

คุณแม่เจียเจียเผยประสบการณ์ว่า เรื่องไหนที่ลูกสามารถทำได้ เธอจะไม่เข้าไปช่วย

เหมือนเมื่อห้องนอนของเจียเจียยุ่งเหยิง ไม่เป็นระเบียบ แม่บอกเจียเจียว่าควรจัดอย่ างเรียบร้อย

ช่วงเปิดภาคเรียน คุณครูขอให้นักเรียนห่อปกหนังสือ เรียนเล่มใหม่ แต่เจียเจียทำไม่เป็น

แม่จึงสอนเจียเจียห่อ 1 เล่มก่อน ต่อไปก็ปล่อยให้เจียเจียลองทำเองไป

เจียเจียไม่อย ากห่อเอง จึงไม่ยอมขยับมือ แม่ก็ไม่สนใจ และชี้นิ้วบอกให้ทำอย่ างนั้นอย่ างนี้

แต่ไม่เข้าไปช่วยห่อ ทำให้เจียเจียต้องนั่งห่อด้วยตัวเองทั้งหมด

“ความจริงถ้าฉันจะเข้าไปช่วยห่อ จะประหยัดเวลาได้มาก แต่เจียเจียจะไม่มีวันเรียนรู้ ที่ห่อปกหนังสือเองได้

เพราะงั้น มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดคือ ปล่อยให้เจียเจียทำเอง แม้ว่าจะห่อไม่เรียบร้อยก็ไม่เป็นไร”

ประสบการณ์ของครู พบว่า : การไม่เคยขยันหมั่นเพียรในการช่วยเหลือลูก ในการทำสิ่งต่าง ๆ

แต่ให้ลูก ทำเองเพื่อจะได้พึ่งตัวเองเป็น นับว่าเป็นการสร้างความรับผิ ดชอบให้กับตนเอง

3. แม่ขิ้เกียจบ่นหรือพูดมาก ให้ลูกเติบโตด้วยตนเอง

ผู้ปกครองบางคน ชอบกระตุ้ นให้ลูกเรียนรู้ จนแม่บ่นตลอดทั้งวันไม่ยอมหยุด พูดแล้วพูดอีก

จนลูกไม่อย ากฟัง แล้วทำเป็นหูทวนลม ไม่ใส่ใจกับสิ่งที่แม่พูด แต่แตกต่างจากครอบครัวนี้

ในช่วงสุดสัปดาห์ ฮาวฮาวเล่นเก มเป็นเวลานานแล้วเขาไม่ทำการบ้าน

แม่จึงถามไปว่า “ลูกกะจะเล่นเก มถึงกี่โมง”

ฮาวฮาวตอบว่า : “ขอเล่นอีก 10 นาที” แม่ตอบกลับไปว่า “ได้ ต้องรักษาคำพูดนะ”

เมื่อผ่านไป 10 นาที แม่ก็เดินกลับมาดูอีก ฮาวฮาวก็ยังคงนั่งเล่นอยู่ที่เดิม แม่โก ร ธมากตอนนั้น

แต่ก็ต้องพูดอย่ างใจเย็นว่า “ปกติลูกเป็นคนรักษาคำพูดนะ”

ตอนนั้นฮาวฮาวเริ่มรู้สึกผิ ด แล้วก็เดินไปปิดสวิทช์และรีบไปทำการบ้านทันที

นั้นเป็นเพราะว่า ก่อนหน้านั้นแม่ของฮาวฮาวเคยพูดหลายรอบแล้ว เกี่ยวกับนิทานเรื่อง

“การเป็นคนน่าเชื่อถือ” แล้วมันทำให้ฮาวฮาวค่อยซึมซับเข้าไปในจิตใจของเขา

เราจะเห็นว่าแม่ลูกคู่นี้ รักษาสัจจะที่ให้ไว้ พอถึงเวลาเขาก็ต้องรีบปิดและไปทำการบ้าน

และนิทานที่แม่หาซื้อมาให้ก็มีตัวอย่ างในการรักษาคำพูดมากมาย ทำให้ฮาวฮาวรู้สึกถึงการเป็นคนที่น่าเชื่อ

ประสบการณ์ของครู พบว่า : “แม่ขิ้เกียจ” ไม่ขยันที่จะบ่นทั้งวัน แต่ใช้เหตุผลในการพูดคุย เพราะเธอรู้ดีว่าลูกไม่ชอบการบ่น แต่เธอขยันในการหาวิธีในการรับมือ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีเยี่ยมให้ลูก

มันเป็นวิธีที่ดีในการเติบโตด้วยตนเอง ในบางครั้งผู้ปกครองควรปล่อยมือบ้าง เมื่อถึงเวลาอันสมควร

และรู้ว่าเวลาไหนควรใจแข็ง เวลาไหนควรใจอ่อน เวลาไหนควรไม่ขยัน คุณควรเอาความกังวลเก็บไว้ในใจ

จากนั้นลบปีกแห่งความกังวลออก ปล่อยให้เขาโบยบินไปด้วยวิธีของตนเอง และเพราะเหตุลูกจึงสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง พึ่งตัวเองได้ สร้างนิสัย การศึกษา ที่ดีและความสามารถอิสระที่พึ่งตนเองได้